แบบจำลองการเลือกสื่อ


แบบจําลองการเลือกสื่อ
          แบบจําลองการเลือกสื่อการเรียนการสอนมีหลายแบบ สําหรับการพิจารณาแต่ละแบบจะมีวิธีการ เลือกสื่อที่ต่างกัน สิ่งที่น่าสังเกตคือ แต่ละแบบมีความต่างกันอย่างไร และพิจารณาว่ามีอะไรเป็นนัยของความ ต่าง แต่ละแบบจําลองพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยในการเลือกและการใช้ประโยชน์จากวัสดุ ให้สังเกตภาพที่ 7 ซึ่ง ไม่ได้นํามาเสนอวิธีการเลือกสื่อที่ตายตัว และภาพที่ 8 ซึ่งใช้สําหรับโครงการการพัฒนาการเรียนสอนของ กองทัพอากาศ
          แบบจําลองของวิลเลี่ยม ออลเลน
          ในแบบจําลองของวิลเลี่ยม ออลเลน (William allen) ผู้ออกแบบการเรียนการสอนต้องตัดสินใจ เกี่ยวกับการจําแนกจุดประสงค์และการจําแนกความสามารถสูงสุดของสื่อการเรียนสอนที่จะพลิกแพลงให้เข้า กับจุดประสงค์ ออลเลน ได้ตรวจสอบประสิทธิผล สื่อสําหรับวัดชนิดของการเรียนรู้ ด้วยเหตุผลนี้ ออลเลน ได้สร้างตารางแจกแจงสองทาง ซึ่งจําแนกสื่อที่ให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ปานกลาง และต่ํา ตามชนิดของ การเรียนรู้ เมื่อใช้แบบจําลองนี้ ผู้ออกแบบควรพยายามหลีกเลี่ยงสื่อที่ให้ผลสัมฤทธิ์ต่ํากับชนิดของการเรียนรู้ (aien, 1967 : 27-31) อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้ออกแบบเลือกสื่อที่ให้ผลสัมฤทธิ์ต่ําหรือปานกลางผู้ใช้ควรรับรู้ ข้อจํากัด
          แบบจําลองของเยอร์ลาชและอีลี
          แบบจําลองเยอร์ลาชและอีลี (Gerlach and Ely) ได้เป็นที่รู้จักกันในปี ค.ศ. 1971 ในตําราที่ชื่อว่า การสอนและสื่อ เยอร์ลาชและอีลีได้นําเสนอเกณฑ์ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ในการเลือกสื่อการเรียนการสอน หลังจากที่ระบุจุดประสงค์และระบุพฤติกรรมความพร้อมที่จะรับการสอน (entering behaviors) แล้วเกณฑ์ ดังกล่าวประกอบด้วยประการที่ 1 ความเหมาะสมทางปัญญา (สื่อสามารถส่งผ่านตัวกระตุ้นตามเจตนารมณ์ ของจุดประสงค์หรือไม่) ประการที่ 2 ระดับของความเข้าใจ (สื่อทําให้ผู้เรียนเข้าใจหรือไม่) ประการที่ 3 ราคา ประการที่ 4 ประโยชน์ (เครื่องมืออุปกรณ์และวัสดุมีประโยชน์หรือไม่) และประการที่ 5 คุณภาพทางเทคนิค (คุณลักษณะทางการฟังและการคูของการผลิตมีคุณภาพเพียงพอหรือไม่) (Gerlach and Ely. 1980) ภาพที่ 5 จะ แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของจุดประสงค์กับทางเลือกในการเลือกสื่อตําราของเยอร์ลาชและอีลีได้มีการ พิมพ์ครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1980โดยที่ผู้เขียนตั้งใจเขียนขึ้นสําหรับครูทุกระดับ ดังภาพประกอบที่ 5

ภาพประกอบที่ 5 แบบจําลองการเรียนการสอน : การเลือกสื่อ
ที่มา : Frederick G. Knirk, and Kent L, Gustatson, Instructional Technology A Systematic Approach to Education (New York: Holt, Rinehart and Winston, 1986), p.170.

          การขยายขอบเขตการเรียนรู้ด้วยการวิจัยการเรียนรู้
          ผู้สอนสามารถปรับปรุงความสามารถในด้านวิชาการของผู้เรียนด้วยการวิจัย การวิจัยการเรียนรู้จะ ช่วยให้ได้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจว่าเงื่อนไขอะไรที่ทําให้มีการเรียนรู้เพิ่มขึ้นในสถานการณ์ที่คล้ายคลึง กับที่ตนเผชิญอยู่ นักวิทยาศาสตร์พฤติกรรมใช้วิธีการในการศึกษาพฤติกรรมด้วยการสังเกตบุคคลในสถานที่ กรณีที่หลากหลาย ด้วยการตั้งคําถามลึกๆ เกี่ยวกับประสบการณ์มีการสํารวจประชากรกลุ่มใหญ่เพื่อที่จะ ตัดสินใจว่า ประชาชนเหล่านั้นชอบหรือไม่ชอบ นักออกแบบสร้างและใช้แบบทดสอบสําหรับความสามารถ และคุณลักษณะของคนจํานวนมาก แต่สิ่งที่สําคัญที่สุดและเป็นการให้ผลต่อการศึกษาการเรียนรู้ คือ การ ทดลอง ซึ่งนักวิจัยระมัดระวังและควบคุมการศึกษาสาเหตุและผลที่ได้รับ
          แบบมโนทัศน์ของการวิจัยเกี่ยวกับการออกแบบการเรียนการสอน เนื้อหาส่วนใหญ่ของงานวิจัยที่ เกี่ยวกับตัวแปรการออกแบบการเรียนการสอนต้องไม่กว้างเกินไปโดยปราศจากของการจัดการ ริชชี ได้จัด กลุ่มงานวิจัยเกี่ยวกับตัวแปรการเรียนการสอนเป็นสี่กลุ่มใหญ่ คือ ผู้เรียน เนื้อหาวิชา สิ่งแวดล้อม และระบบ การสอน การออกแบบการเรียนการสอนขึ้นอยู่กับธรรมชาติของความชี้เฉพาะในแต่ละกลุ่มอย่างหลากหลาย

ตารางที่ 21 ตัวอย่างของการปฏิบัติเชิงการเปลี่ยนแปลง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
การปฏิบัติเชิงความจํา (recognition practice)
คาร์บูเรเตอร์ตัวไหนทํางานถูกต้อง
เมฆที่เห็นเป็นชนิดที่เรียกว่า นิมบัส (nimbus) หรือคูมูลัส (cumulus)
การแก้ไขการปฏิบัติ (editing practice)
คาร์บูเรเตอร์นี้ทํางานไม่ถูกต้อง ทําให้ถูกต้อง
เมฆที่เห็นไม่ใช่นิมบัส เป็นเมฆชนิดใด
การปฏิบัติที่ให้ผล (production practice)
ในการติดตั้งคาร์บูเรเตอร์ อย่าลืมต้องติดตั้งโช้ค (choke) ก่อน
จงดูรูปร่างและสีของเมม แล้วบอกว่าเป็นเมฆชนิดใด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
          ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) อีกวิธีการหนึ่งที่จะทําให้การผิดพลาดลดลงคือ การให้ผู้เรียนได้รับรู้ที่ การตอบสนองนั้นไม่ถูกต้อง การรู้ว่าถูกหรือผิดจะช่วยให้ผู้เรียนแก้ไขการกระทําให้ถูกต้องระหว่างทดลอง และเน้นไปที่ส่วนของภาระงานที่ต้องการกลั่นกรอง
          การเรียนรู้จากสื่อเคลื่อนที่
          เทคโนโลยีแบบเคลื่อนที่ (Mobile technology) จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบพลวัตรที่สร้างสรรค์ การเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์กันภายใต้สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ในยุคที่ความ เจริญก้าวหน้าของสื่อสารไร้สายนี้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทโน็ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ (รวมถึง TABLETS) กล้องถ่ายภาพดิจิทัล เครื่องเล่น MP3หรือ MP4 และอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์อื่น ๆ อีก มากมาย ในที่นี้ขอเรียกว่า สื่อเคลื่อนที่ (Mobile devices) สามารถนํามาใช้เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้การตอบสนอง ได้รวดเร็ว มีปฏิสัมพันธ์แบบโต้ตอบให้ประสบการณ์ที่ดี เช่น ในการสอนวิชาภาษาต่างประเทศ สามารถ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ผ่านสื่อเคลื่อนที่ดังกล่าวนี้ ทั้งนี้ผู้เรียนยังใช้ประโยชน์ในการส่งอีเมลล์ หรือใช้ประโยชน์เพื่อการนันทนาการได้อีกด้วย ในบางกรณีผู้เรียนยังมีความคาดหวังที่จะได้เรียนรู้แม้ว่าจะ ไม่ได้เข้าชั้นเรียน โดยที่ผู้เรียนสามารถติดตามบทเรียนตามที่ต้องการได้สะดวกจากเว็บไซต์


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม