การกำหนดระดับคุณภาพผลการเรียนรู้


การกำหนดระดับคุณภาพผลการเรียนรู้
          The Solo taxonomy
          The Solo taxonomy เป็นการจัดระดับเพื่อประโยชน์ในการแสดงคุณสมบัติเฉพาะในระดับต่างๆกันขอคำถาม และคำตอบที่คาดว่าจะได้รับจากผู้เรียน เป็นชุดของเกณฑ์การประเมินผลการเรียนรู้ที่เป็นผลงานของ Biggs and Collis (1982). “SOLO, มาจากคำว่า Structure of Learning Outcome, : เป็นระบบที่นำมาช่วยอธิบายว่า ผู้เรียนมีพัฒนาการการปฏิบัติที่ซับซ้อนอย่างไร ในการเรียนเพื่อรอบรู้ที่มีความหลากหลายของภาระงานทางวิชาการ ดูที่นิยมจุดประสงค์ของหลักสูตร ในสภาพที่พึงประสงค์ของการปฏิบัติ เพื่อประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคนที่ปฏิบัติได้จริง
          การใช้ Solo taxonomy ในการกำหนดระดับคุณภาพผลการเรียนรู้
          Solo taxonomy คือ การกำหนดระดับคุณภาพผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งในโรงเรียนเฉพาะกาล และการให้คะแนนจากผลงานเท่านั้น แต่ Solo taxonomy เป็นกระบวนการที่ให้ความสำคัญว่าผู้เรียนมีวิธีการเรียนรู้ สิ่งที่สำคัญประการหนึ่งคือ กูจะต้องมีวิธีการสอนอย่างไรที่ผู้เรียนได้ใช้ปัญญาที่มีความซับซ้อนและก่อให้เกิดพัฒนาการมากขึ้น Solo taxonomy ได้รับการสนับสนุนโดย Biggs และ Collis
The Solo taxonomy เป็นชุดของเกณฑ์การประเมินผลการเรียนรู้ที่เป็นผลงานของ Biggs and Collis (1982).“SOLO, มาจากคำว่า Structure of Learning Outcome, : ถึงระบบที่นำมาช่วยอธิบายว่า ผู้เรียนมีพัฒนาการการปฏิบัติที่ซับซ้อนอย่างไร ในการเรียนเพื่อรอบรู้ที่มีความหลากหลายของภาระงานทางวิชาการ โดยที่นิยมจุดประสงค์ของหลักสูตร ในสภาพที่พึงประสงค์ของการปฏิบัติ เพื่อประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคนที่ปฏิบัติได้จริง
การใช้ Solo taxonomy จะช่วยให้ทั้งครูและผู้เรียนตระหนักถึงองค์ประกอบที่หลากหลายจากหลักสูตรได้อย่างแจ่มชัดขึ้น แนวคิดดังกล่าวถูกนำไปกำหนดเป็นนโยบายใช้ในการประเมินในมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาหลายแห่ง สืบเนื่องจากสามารถนำไปใช้ได้ในหลายสาขาวิชา การประเมินความสามารถในการปฏิบัติของผู้เรียนอยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาผู้เรียนในแง่ของความเข้าใจที่ซับซ้อน ซึ่งความเข้าใจดังกล่าวแบ่งได้เป็น 5 ระดับ (1) ระดับโครงสร้างพื้นฐาน (Pre - structural) (2) ระดับโครงสร้างเดียว (Unit-structural) (3) ระดับโครงสร้างหลากหลาย (Multi- structural) (4) ระดับความสัมพันธ์ของโครงสร้าง(Relational Level)  (5) ระดับแสดงความต่อเนื่องในโครงสร้างภาคขยาย (Extended Abstract Level)
โครงสร้างการสังเกตผลสัมฤทธิ์การเรียน Biggs และ Collis เสนอวิธีการไว้ดังต่อไปนี้ 1) กำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ผู้เรียนปฏิบัติในบทเรียน (To Set learning objective appropriate to where students should be at a particulr stage of their program) และ 2) ประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคน (To assess the learning outcome attaained by each Student) ไม่เขียนวัตถุประสงค์การเรียนรู้ต้องมั่นใจว่าคำกริยาที่นำมาใช้เพื่อการประเมินมีความถูกต้องเหมาะสมในแต่ละระดับ ดังนี้
- ระดับโครงสร้างพื้นฐาน (pre - structural)นักเรียนได้รับข้อมูลเป็นส่วนๆ ที่ไม่ปะติดปะต่อกัน ไม่มีการจัดการข้อมูล และความหมายโดยรวมของข้อมูลไม่ปรากฏ
- ระดับโครงสร้างเดียว( Unit- structural )ทุเรียนเชื่อมโยงข้อมูลพื้นฐาน ง่ายต่อการเข้าใจ แต่ไม่แสดงความหมายของความเกี่ยวโยงของข้อมูล
- โครงสร้างระดับหลักหลาย( Mult-structural)ทุเรียนเชื่อมโยงข้อมูลหลายๆ ชนิดเข้าด้วยกัน ความหมายของความสัมพันธ์ระหว่างความเกี่ยวโยงของข้อมูลไม่ปรากฏ
- ระดับความสัมพันธ์ของโครงสร้าง(Relational Level)  ผู้เรียนแสดงความสัมพันธ์ของความเกี่ยวโยงข้อมูลได้ ผู้เรียนแสดงความสัมพันธ์ของความเกี่ยวโยงของข้อมูล และภาพรวมทั้งหมดได้
- ระดับแสดงความต่อเนื่องในโครงสร้างภาคขยาย (Extended Abstract Level) ทุเรียนเชื่อมโยงข้อมูลนอกเหนือจากหัวข้อเรื่องที่ได้รับ ผู้เรียนสามารถสรุปและส่งผ่านความสำคัญ แนะแนวคิดที่ซ่อนอยู่ภายใต้กรณีตัวอย่าง




ตารางที่ 24 การจัดระดับ Solo taxonomy คำถามและการตอบสนองที่คาดหวังจากผู้เรียน

การจัดระดับ SOLO
คำถามและการตอบสนองที่คาดหวังจากผู้เรียน
ระดับโครงสร้างพื้นฐาน (pre - structural)
ผู้เรียนได้รับข้อมูลเป็นส่วนส่วน ที่ไม่ปะติดปะต่อกันไม่มีการจัดการข้อมูล ความหมายโดยรวมของข้อมูลไม่ปรากฏ
ระดับโครงสร้างเดียว( Unit- structural )
ผู้เรียนเชื่อมโยงข้อมูลพื้นฐาน ง่ายต่อการเข้าใจไม่แสดงความหมายของความเกี่ยวโยงของข้อมูล
โครงสร้างระดับหลักหลาย( Mult-structural)
ผู้เรียนเชื่อมโยงข้อมูลหลายๆ ชนิดเข้าด้วยกันความหมายของความสัมพันธ์ระหว่างความเกี่ยวโยงของข้อมูลไม่ปรากฏ
ระดับความสัมพันธ์ของโครงสร้าง(Relational Level)  
ผู้เรียนแสดงความสัมพันธ์ของความเกี่ยวโยงของข้อมูลได้นักเรียนแสดงความสัมพันธ์ของความเกี่ยวโยงของข้อมูลและภาพรวมทั้งหมดได้
ระดับแสดงความต่อเนื่องในโครงสร้างภาคขยาย (Extended Abstract Level)
นักเรียนเชื่อมโยงข้อมูลนอกเหนือจากหัวข้อเรื่องที่ได้รับ
ผู้เรียนสามารถสรุปและส่งผ่านความสำคัญ และแนวคิดที่ซ่อนอยู่ภายใต้กรณีตัวอย่าง

เพื่อความเข้าใจในการทำมโนทัศน์ Solo taxonomy ไปใช้ บิกส์ ได้สรุปดังตารางที่ 25

ตารางที่ 25 ระดับของความเข้าใจ ระยะของการเรียนรู้ และคำกิริยาที่ใช้
ระดับของความเข้าใจที่นักเรียนแสดงออกในการเรียนรู้
ระยะของการเรียนรู้
คำกริยาที่ใช้
ระดับความต่อเนื่องภาคขยาย()
- สามารถสร้างเป็นความคิดเชิงมโนทัศน์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เรียนได้
- สามารถสรุปอ้างอิง()ไปยังเนื้อหาใหม่ๆ ได้
ระยะเชิงคุณภาพ
ลักษณะ / พฤติกรรมของการตอบสนองจากการเรียนรู้ของนักเรียนมีการบูรณา()การสู่แผนเชิงโครงสร้าง ()
- สร้างทฤษฎี
- สรุปอ้างอิง
- ตั้งสมมติฐาน
- สะท้อน
- สร้างขึ้น
ระดับความสัมพันธ์ของโครงสร้าง ()
- พฤติกรรมที่แสดงออกให้เห็นถึงการจัดการระหว่างความจริงและทฤษฎีพฤติกรรมและจุดมุ่งหมาย
- มีความเข้าใจในหลายๆ เนื้อหา/องค์ประกอบย่อยๆ ซึ่งสามารถบูรณาการมาเป็นมโนทัศน์
- สามารถนำมโนทัศน์ไปประยุกต์ใช้กับปัญหาอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันหรือการปฏิบัติงาน
- เปรียบเทียบ/ ระบุความแตกต่าง
- อธิบายเชิงเหตุผล
- บูรณาการ
- วิเคราะห์
- แสดงความสัมพันธ์
- นำไปใช้
ระดับโครงสร้างหลากหลาย
- พฤติกรรมที่แสดงออกชี้ให้เห็นถึงความเข้าใจที่กว้างขวางมากขึ้น แต่ยังไม่เป็นระบบ
- ความเข้าใจเฉพาะเนื้อหา / องค์ประกอบย่อยๆ เท่านั้น
- ไม่สามารถจัดระบบของการรวบรวมความคิดหรือมโนทัศน์ของเนื้อหา/ประเด็นต่างๆได้
- ไม่สามารถแสดงความสัมพันธ์ของรายการย่อยกับข้อรายการทั้งหมด
ระยะเชิงปริมาณ
รายละเอียดของการตอบสนองที่เกิดจากการเรียนรู้ของนักเรียนมีปริมาณที่เพิ่มขึ้น
- แจงนับ ยกตัวอย่าง
- จำแนกแยกแยะ
- อธิบาย
- ลงรายการ
- เชื่อมโยง
- ให้ทำตามลำดับขั้นตอน
ระดับโครงสร้างเดี่ยว
- พฤติกรรมที่แสดงออกเป็นรูปประธรรม ความเข้าใจเนื้อหาเพียงเล็กน้อย
- เน้นเฉพาะเนื้อหา / ประเด็นที่มีความคิดรวบยอดเพียงเรื่องเดียว
- ระบุ
- จำ
- ให้ทำตามขั้นตอนง่ายๆ
ระดับโครงสร้างพื้นฐาน
พฤติกรรมที่แสดงขาดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหา/ประเด็น
ถ้าจุดสำคัญ/ประเด็นสำคัญ

ตารางที่ 26 ข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับ Solo taxonomy

Solo taxonomy มีความเหมาะสมกับการวัดสมรรถนะ
Biggs and Collis 1982
ความเป็นอิสระในบริบทของการทำแผนภาพSOLO
(แต่ละสมรรถนะเราตรวจสอบได้จากจุดมุ่งหมายต่างๆ)
การสรุปแนวคิด/ผลโดยประมาณ
ความเป็นอิสระ
(ข้อจำกัดของเราคือ บริบทของศาสตร์/วิชาการ)
การสรุปแนวคิด/ผลโดยประมาณ
ข้อสมมติฐานเกี่ยวกับการให้น้ำหนักที่เท่ากัน
(สมรรถนะจุดมุ่งหมายและหลายจุดมุ่งหมายในหลักสูตรกำหนดน้ำหนักเท่ากัน)
การสรุปแนวคิด/ผลโดยประมาณ
ผลลัพธ์: ความมุ่งมั่น/เจตนา->วางนโยบายและแผนการ->ผลสัมฤทธิ์
(เรา วิเคราะห์นโยบาย/แผนการ แต่ เหตุผล เพื่อ ผลสัมฤทธิ์)
การนำไปใช้

          ประเด็นสำคัญที่พึงระมัดระวังในการใช้ Solo taxonomy
          การปรับใช้  Solo taxonomy กับแนวคิดการสร้างสรรค์องค์ความรู้ ต้องนึกอยู่เสมอว่าปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการสอนและการเรียนรู้ มีอยู่มากมาย อาทิ
          ในการสอนครูผู้สอนมีวิธีการสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้อย่างไร ครูผู้สอนต้องมีความรู้เกี่ยวกับแรงจูงใจในการเรียนรู้ของผู้เรียน
          ในการเรียนรู้ผู้เรียนมีความสามารถในการจัดการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด จะต้องมีสิ่งสนับสนุนอะไรจึงจะช่วยให้ผู้เรียนบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการจัดการเรียนรู้
          การกำหนดระดับคุณภาพของสมรรถนะนี้เป็นการให้ความสำคัญที่การเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคนตามความสามารถ (แทนสิ่งที่ครูมักพบว่านักเรียนคนนั้น คนนี้ เก่ง/ไม่เก่ง หรือดี/ ไม่ดี ) และการสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนเพื่อจะนำไปสู่การเรียนรู้ที่ดี การปฏิบัติตามแนวคิดดังกล่าวนี้ สรุปได้ว่า
- ทำให้ ILO ชัดเจนยิ่งขึ้น( ความมุ่งมั่น/ เจตนา (Intended ) การเรียนรู้ (Learning) ผลผลิต (outcomes)
- การทดสอบสมรรถนะ => ILO’s => การสอน
ครูผู้สอนต้องบอกกระบวนการ ILO ในการบรรลุผลการเรียนรู้ ให้นักเรียนได้รับทราบด้วย

 Solo taxonomy มีเหมาะสมดีที่นำมาใช้ในการให้เหตุผลในการกําหนดสมรรถนะในหลักสูตรและรายวิชาต่างๆ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
SOLO 4 : การพูดอภิปราย สร้างทฤษฎี ทำนายหรือพยากรณ์
SOLO 3 : อธิบาย  เปรียบเทียบ
SOLO 2 :
SOLO 1 :
บทบาทของการสอบ
          การสอบไม่ใช่สิ่งที่ตามมาแต่ต้องคิดไว้ก่อนแนวคิดสำคัญ ในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อต้องการทดสอบสมรรถนะหรือผลผลิตของการสอน นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องมีความรู้ต่อไปนี้
ทฤษฎีการวางแผน ( ตลอดโปรแกรมของหลักสูตร)
ทฤษฎีเกี่ยวกับแรงจูงใจ(และสิ่งที่กระตุ้นแรงจูงใจ )
ทั้งนี้เพื่อปรับเปลี่ยนความคิดการสอบคล้ายกับการปรับเปลี่ยนจากความชั่วร้าย เป็นการสร้างแรงจูงใจ และแนวทางในการเรียนรู้ ที่เป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอน
การจัดลำดับของจุดประสงค์การเรียนรู้ของบลูม (Boom taxonomy 1956) เมื่อนำมาสัมพันธ์กันกับแนวคิด Solo taxonomy ของ Biggs and Collis 1982
SOLO 1 และ 2 สอดคล้องกับแนวคิดของ บลูม ในขั้นความรู้ ความเข้าใจและการนำไปใช้ข้อมูลเชิงปริมาณ
SOLO 3 และ 4 สอดคล้องกับแนวคิดของ บลูม ในขั้นการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าข้อมูลเชิงคุณภาพ
ตัวอย่าง การกำหนดค่าระดับคุณภาพการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้
ระดับ SOLO 1 หมายถึงการเรียนแบบและคงไว้ซึ่งของเดิม การเขียนแผนจะยึดตำราเป็นหลัก ทำแบบฝึกหัดตามหนังสือ จัดกิจกรรมซ้ำๆ เดิม ใช้สื่ออุปกรณ์สำเร็จรูปไม่มีการประเมินการใช้จริง
 ระดับ SOLO 2 การปรับประยุกต์ใช้ การนำแผนการสอนที่มีอยู่ให้ดีขึ้นมีการบูรณาการเนื้อหาให้สอดคล้องกับโลกแห่งความเป็นจริง (Real World) มีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาเล็กน้อยคำนึงสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ เน้นทฤษฎีมากกว่าการปฏิบัติ
ระดับ SOLO 3 หมายถึง การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ (Creative-generative) การเขียนแผนที่คำนึงถึงพฤติกรรมใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ จะเขียนแผนแนวทางมหภาค ใช้ผลงานการวิจัยประกอบ การสอนเน้นมโนทัศน์ของวิชาการนั้นๆและบูรณาการแบบข้ามกลุ่มสาระ

          บทบาทของการสอบ
          การสอบไม่ใช่สิ่งที่ตามมาแต่ต้องคิดไว้ก่อนแนวคิดสำคัญ ในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อต้องการทดสอบสมรรถนะหรือผลผลิตของการสอน นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องมีความรู้ต่อไปนี้
ทฤษฎีการวางแผน ( ตลอดโปรแกรมของหลักสูตร)
ทฤษฎีเกี่ยวกับแรงจูงใจ(และสิ่งที่กระตุ้นแรงจูงใจ )
ทั้งนี้เพื่อปรับเปลี่ยนความคิดการสอบคล้ายกับการปรับเปลี่ยนจากความชั่วร้าย เป็นการสร้างแรงจูงใจ และแนวทางในการเรียนรู้ ที่เป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอน
การจัดลำดับของจุดประสงค์การเรียนรู้ของบลูม (Boom taxonomy 1956) เมื่อนำมาสัมพันธ์กันกับแนวคิด Solo taxonomy ของ Biggs and Collis 1982
SOLO 1 และ 2 สอดคล้องกับแนวคิดของ บลูม ในขั้นความรู้ ความเข้าใจและการนำไปใช้ข้อมูลเชิงปริมาณ
SOLO 3 และ 4 สอดคล้องกับแนวคิดของ บลูม ในขั้นการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าข้อมูลเชิงคุณภาพ
ตัวอย่าง การกำหนดค่าระดับคุณภาพการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้
ระดับ SOLO 1 หมายถึงการเรียนแบบและคงไว้ซึ่งของเดิม การเขียนแผนจะยึดตำราเป็นหลัก ทำแบบฝึกหัดตามหนังสือ จัดกิจกรรมซ้ำๆ เดิม ใช้สื่ออุปกรณ์สำเร็จรูปไม่มีการประเมินการใช้จริง
 ระดับ SOLO 2 การปรับประยุกต์ใช้ การนำแผนการสอนที่มีอยู่ให้ดีขึ้นมีการบูรณาการเนื้อหาให้สอดคล้องกับโลกแห่งความเป็นจริง (Real World) มีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาเล็กน้อยคำนึงสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ เน้นทฤษฎีมากกว่าการปฏิบัติ
ระดับ SOLO 3 หมายถึง การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ (Creative-generative) การเขียนแผนที่คำนึงถึงพฤติกรรมใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ จะเขียนแผนแนวทางมหภาค ใช้ผลงานการวิจัยประกอบ การสอนเน้นมโนทัศน์ของวิชาการนั้นๆและบูรณาการแบบข้ามกลุ่มสาระ
การแปลความหมายของค่าเฉลี่ย
          ค่าเฉลี่ย 1.00 - 1.49 หมายความว่า มีความสามารถในการเขียนแผนและการนำแผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ตามรูปแบบ The STUDIES model ระดับต่ำ/ปรับปรุง
          ค่าเฉลี่ย 1.50 - 2.49 หมายความว่า มีความสามารถในการเขียนแผนและการนำแผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ตามรูปแบบThe STUDIES model ระดับปาน/กลางพอใช้
          ค่าเฉลี่ย 2.50 - 3.00 หมายความว่า มีความสามารถในการเขียนแผนและการนำแผนจัดการเรียนรู้โดยใช้ตามแบบ The STUDIES model ระดับสูง/ดี

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม